การวิจัยกับการการวิเคราะห์งบการเงิน

การวิจัยกับการการวิเคราะห์งบการเงิน

การวิจัยกับการการวิเคราะห์งบการเงิน

การที่เราเห็นการเปลี่ยนแปลงในอดีต ทำให้สามารถพยากรณ์การเปลี่ยนแปลงในอนาคตได้ ทฤษฎีทางการบัญชีแบ่งเป็น 3 ยุค

  1. Classical approach งานวิจัยตั้งแต่ช่วงต้น ๆ จนถึงปี 1960s ( 1960-1969) Mid กลางปีคือ 1965 พยามพัฒนาหาว่างบการเงินหรือการบัญชีควรจะแสดงข้อมูลอย่างไรจึงจะเหมาะสม
  2. Market – based accounting research

- มีการหา empirical Test มากขึ้น (การทดสอบเชิงประจักษ์จากข้อมูล) จะมุ่งเน้นไปที่ปฏิกิริยาทางการตลาดที่มีต่อข้อมูลทางการบัญชีที่รายงานออกไป

- จะศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างกำไรทางการบัญชีกับผลตอบแทนของตลาด( Market Return)ซึ่งอยู่ในบทบาทของข้อมูลทางการบัญชี

  1. Positive approach (ทฤษฎีเชิงบวก) ต่างจาก Market – based 2 ทาง
  2. มุ่งเน้นศึกษาการตอบสนองของตลาดภายใต้ภาวะการต่าง ๆ ที่มีผลต่อการบริหารของกิจการซึ่งส่งผลให้งบการเงินแตกต่างกันไปด้วย

การทดสอบPositive accounting Theory (ทฤษฎีเชิงบวก)

  1. management Compensationsการบริหารจัดการ
  2. Debt Covenantsการฝ่าฝืนข้อตกลงเงื่อนไขของหนี้
  3. Regulatory environmentผลมาจากภาวะแวดล้อมของผู้ออกกฎ
  4. มุ่งเน้นศึกษาปฏิกิริยาของผู้บริหารที่มีต่อการตัดสินใจและวิธีการเลือกวิธีการทางการบัญชีว่ามีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร

ทำไมต้องรู้ว่าผลการวิจัยเป็นอย่างไร

  1. ข้อมูลในรายงานทางการเงินที่ออกมาเปลี่ยนแปลงไปตามผลของงานวิจัยทางการบัญชี(งบการเงินที่ออกมาเป็นไปตามผลของงานวิจัย)
  2. งานวิจัยทางการบัญชีทำให้มองได้อย่างลึกซึ้งถึงประโยชน์ของข้อมูลในงบการเงิน

Classical approach การศึกษางานวิจัยยุคที่ 1 พบว่า

- Normative ควรทำในลักษณะปกติคือ ควรจะเป็นอย่างนี้ แบบนี้

- กิจการควรมี True Picture อย่างไร คือการลงบัญชีโดยการอ้างอิงจากหลักฐานที่มีอยู่

- Price ควรใช้ Current Cost หรือ Replacement Cost หรือHistorical Cost

- ในยุคนี้ยังไม่มีการทดสอบ ตรวจสอบ เกี่ยวกับปฏิกิริยาของผู้ใช้ต่องบการเงิน ยังไม่มีใครทดสอบว่าปฏิกิริยาของผู้ใช้เป็นอย่างไร

- ใช้เทคนิค Ratioในการวิเคราะห์ราคาหุ้น

- ยังไม่มีการทดสอบใด ๆ

Market – based accounting research การศึกษางานวิจัยยุคที่2 พบว่า

- เกิดการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญของบทบาททางการบัญชีซึ่งมีผลกระทบต่องานวิจัยอย่างมาก ๆ ให้กำเนิด

- Efficient Market hypothesis ( สมมติฐานด้านประสิทธิภาพของตลาด)ตลาดจะเป็นตลาดที่มีประสิทธิภาพถ้าราคาหลักทรัพย์นั้นถูกสะท้อนจากข้อมูลที่มีอยู่

ซึ่งข้อมูลที่มีอยู่มาจาก Set Information โดยการแบ่งข้อมูลออกเป็น 3 ระดับ

  1. ถ้าสะท้อนข้อมูลในอดีตแสดงว่าตลาดนั้นมีประสิทธิภาพในระดับ Weak form

    2. ถ้าประกาศกำไรแล้วมีผลต่อราคาตลาดแสดงว่าตลาดนั้นมีประสิทธิภาพในระดับ Semi strong form

    3. ถ้าราคาตลาดได้สะท้อนข้อมูลที่มีไว้แล้วสถานการณ์จะเป็นอย่างไรไม่มีผลต่อการกำหนดราคา คือไม่สามารถที่จะทำกำไรผิดปกติได้แสดงว่าตลาดนั้นมีประสิทธิภาพในระดับ Strong form

* ของประเทศไทยและต่างประเทศอยู่ในระดับ Weak formและ Semistrong form แต่จากงานวิจัยต่างประเทศ พบว่า บางฉบับ Weak formบางฉบับ Semistrong form ยังหาข้อสรุปไม่ได้แต่ตลาดบอกว่า Support Weak form กับSemistrong form

  • * อะไรก็ตามที่ยังไม่ได้มีการทดสอบเรียกว่า hypothesis (สมมติฐาน)
  • * ถ้ามีการทดสอบแล้วเรียกว่า Theory (ทฤษฎี)

Modern Portfolio Theory

  • CAPM ตัวแบบการกำหนดราคาหุ้น

อัตราผลตอบแทนของกิจการย่อมมีผลต่ออัตราผลตอบแทนของตลาด ความเสี่ยงย่อมมีผลต่อค่าชดเชยความเสี่ยง

  • CAPM กับ MPT มีผลต่อการพัฒนาทฤษฎีทางการบัญชีโดย CAPM กับ MPT ไปช่วยในการวัดปฎิกริยาในการวัดMarket Return กับ Earnings ซึ่งเรียกงานวิจัยในกลุ่มนี้ว่าMarket based Research โดยได้แบ่งงานวิจัยออกเป็น 3 กลุ่มหลัก
  1. Test EMHกับClassical approach
  2. Test of the Information Contentคุณค่าของข้อมูลทางการบัญชี
  3. Tast Earning /Return Relationshipความสัมพันธ์ระหว่างกำไรกับผลตอบแทน

จากการทดสอบพบว่า

กลุ่มที่ 1 สมัยก่อนเชื่อว่า Value จากการ Test of EMH Vs Mechanistic hypothesis จะมีมูลค่าของกิจการตามหน้างบการเงิน งบการเงินมาอย่างไรก็ทำอย่างนั้น ไม่มีความรู้ไม่รู้จะปรับอย่างไร

กลุ่มที่ 2 EMS ยึดว่าราคาต้องสะท้อนมาจากราคาตลาดที่มีประสิทธิภาพ (Information available) ตามหลัก EMH ซึ่งInformation EMH แบ่งเป็น 3 Class แต่ตามมาตรฐานการบัญชียึดตาม Financial Statement

กลุ่มที่ 3 ผลจากการทดสอบพบว่าราคาหุ้นต้องมีการIncrease or decrease

* ทางการบัญชีเชื่อว่าถ้าวิธีการบัญชีเปลี่ยน Stock Price ก็ควรเปลี่ยน แต่ EMH ไม่เห็นด้วย

Ball and Brown Study (1968)ได้ศึกษา

  • ศึกษาถึงความสัมพันธ์ของ Price มีความสัมพันธ์กับ Earningอย่างไร (Price เทียบกัน 2 งวดเรียกว่า Return)พบว่าถ้ามีGood new ( ข่าวดี ) เกี่ยวกับ Accounting Earning แสดงว่ามีอัตราผลตอบแทนที่เกินปกติในทางบวกถือว่าเป็นข่าวดี แต่ ในทางตรงข้ามถ้า Bad new ( ข่าวร้าย ) ก็จะ negative Return

Information Content Studies จะวัดเกี่ยวกับ

* Market Reaction กับ Earnings ที่ประกาศ ถ้ามีการประกาศกำไร Price ต้องขยับ Abnormal Returnsหมายความว่าReturn เกิดการแกว่งตัวผิดปกติและการแกว่งตัวสอดคล้องกับผลกำไร

  • * accounting Information มีผลต่อการประกาศกำไรซึ่งเหวี่ยงไปจาก Expected Earning

Relationship Between Earnings and Stock

Return การศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างEarnings and Stock โดยได้ทำการศึกษา 3 ตัว

  1. Accounting Variable ตัวแปรทางการบัญชี
  2. Market Variable ตัวแปรด้านตลาด
  3. Test of the Relationship between the good news / bad news parameter and abnormal return

ตัวแปรข่าวดี ข่าวร้าย กับ Abnormal return

Positive Accounting Research สำหรับใช้อธิบายและ Predict

- เป็นกลุ่มการวิจัยช่วงสุดท้ายคือช่วงปฏิบัติ

- เป็นการอธิบายวิธีการปฏิบัติทางการบัญชีว่ามีผลต่องบการเงินอย่างไร

- Positive Accounting Theory มีไว้เพื่ออธิบายพฤติกรรมของฝ่ายบริหารคือพฤติกรรมที่ทำแล้วมีผลต่อรายงานทางการบัญชี ไม่ใช่พฤติกรรมทั่วไป

ทำไมผู้บริหารจึงมีพฤติกรรมต่าง ๆ ด้วย Positive Accounting Theory จึงเริ่มด้วยการอธิบายถึง บุคคล 2 กลุ่ม คือ ตัวการ(Agent) กับ ตัวแทน (Possible)

  • ทฤษฎีนี้เชื่อว่าคนมีแรงจูงใจเพื่อผลประโยชน์ของตัวเองจริงไหม?
  • ผู้บริหารจะพยามทำให้มูลค่าของกิจการเพิ่มมากขึ้นตามผลประโยชน์ของตัวเอง
  • บทบาทตัวเลขทางการบัญชีจะมาเป็นตัวที่ใช้วัดความสัมพันธ์ระหว่าง ตัวการ กับ ตัวแทน ซึ่งมีความสำคัญที่เรียกว่า contracting process

Positive Theory โดยปกติจะTest 3 กลุ่ม ใหญ่ ๆ

  1. Bonus Plan hypothesisถ้ากำไรสูงก็จะดันกำไรให้ต่ำลง ถ้ากำไรต่ำลงก็จะดันกำไรให้สูงขึ้นเพื่อ ฺBonusหรือถ้าต่ำมาก ๆ ก็จะล้างบาง
  2. มีการกำหนดทิศทางให้ผู้กู้โดยการกำหนดสัดส่วน
  • 3. Political Process hypothesis พูดถึงโดยปกติในอุตสาหกรรมบางอุตสาหกรรมมีกำไรค่อนข้างมากกิจการพวกนี้มักจะถูกจับตาโดยทางการ ถ้าทำกำไรมากเกินไป จะถูกตั้งคำถามว่า ทำไมถึงมีกำไรมากขนาดนี้ ต้องมีการกระจายรายได้ โดยเครื่องมือที่กระจายรายได้คือภาษี

Empirical Research มีการประเมินถึงจุดที่สำคัญถึงสิ่งที่ค้นพบจากงานวิจัย กึ่งกลางระหว่างวิวัฒนาการจากผลการวิจัยพบว่า

  • แสดงให้เห็นว่ามีข้อบกพร่องและจุดอ่อนของ Market bats Research มุมมองของนักบัญชีเน้นแต่ Bata ที่ออกมาว่า Singไม่ Sing โดยค่า Sic ดูจาก ค่า P-Value ซึ่งจริง ๆ แล้วอาจมีผลน้อยมากอาจแค่ 10% ควรทำเรื่องอื่นที่มีผลต่อการตัดสินใจทางเศรษฐกิจมากกว่านี้
  • Lev and Bemarad งานวิจัยควรมีการวิเคราะห์ให้มากขึ้นควรเน้นในเรื่องของ Valuation ให้มากขึ้น ควร Ran ที่ Individualให้มากขึ้นแทนที่จะ Ran ที่ Portfolio basic ในเรื่องการวัดEarning / Return
  • ค่าเฉลี่ยกำไรในเวลาที่ตรวจสอบควรใช้ Longer time horizons
  • ส่วนประกอบของ Earning ที่ใช้ในการทำวิจัยควรจะรวมAdjustments ด้วยเพราะจะทำให้การวิเคราะห์มีความหมายขึ้นเน้นรายการ Noncoring ด้วย

Market Anomalies or Market Abnormal

  • บางทีก็เกิดรายการผิดปกติเกิดขึ้นระหว่าง Earning / Return
  • เรียกปรากฏการณ์นี้ว่าJanuary Effect เช่นปกติแล้วเดือนมกราคมหุ้นจะขึ้นเป็นเรื่องของธรรมชาติ
  • Size Effect พวกกิจการขนดเล็กย่อมมีผลตอบแทนที่ต่ำกว่า กิจการขนาดใหญ่ทั้ง ๆ ที่กำไรของบริษัทขนาดเล็กทำกำไรได้ดีกว่า แต่คนไม่ชอบอาจเป็นเพราะนักลงทุนชอบ Size Effect ใหญ่ๆ เพราะหมายถึง Fundamental
  • กลุ่มที่มี P/E Ratio ต่ำ ๆ ก็มีแนวโน้มที่ Earning / Return มีความสัมพันธ์ต่ำคือต่ำกว่าราคาตลาด

DeBondt and Thaler (1985)  พบว่าถ้าราคาหุ้นของบริษัทที่ผลการดำเนินงานไม่ดี 5 ปี  ก็จะอัตราผลตอบแทนที่ต่ำไปอีก 3 ปี เมื่อเทียบกับบริษัทที่มีผลการดำเนินงานดี  Lakonishok et al (1994)  เมื่อกิจการมีกำไรต่ำลง ราคาก็จะต่ำลงอย่างรวดเร็ว อัตราส่วน book to market  จะสูง

ทิศทางของงานวิจัยในปัจจุบัน จะพูดถึงหลักการของมูลค่ากิจการ การวิเคราะห์ fundamental  และมุ่งเน้นถึงพฤติกรรมของหุ้นต่อการตอบสนองกำไร  จะมองเน้นการพยากรณ์มากขึ้น  อาจจะมีงานวิจัยบน  ERC  มากขึ้น  ราคาสามารถใช้ในการพยากรณ์กำไรในอนาคต

บทความโดย : http://xn--12cfjb4gd5dd4a6b2cxaftl4pk4s.blogspot.com

 2918
ผู้เข้าชม
สร้างเว็บไซต์สำเร็จรูปฟรี ร้านค้าออนไลน์