จากก่อนหน้านี้ได้ตกลงเข้าทำสัญญาแฟรนไชส์ ที่ประเทศกัมพูชาได้สำเร็จในเดือน พ.ค. ซึ่งสัญญาทั้ง 2 ฉบับให้สิทธิ CPALL ในการจัดตั้งและดำเนินการร้าน เซเว่น ฯ ทั้งสองประเทศเป็นระยะเวลา 30 ปี โดยคู่สัญญาอาจตกลงต่ออายุสัญญาได้อีกสองครั้งครั้งละ 20 ปี
"นับจากก้าวแรกที่เข้ามาดำเนินธุรกิจร้านสะดวกซื้อในไทยปี 2531 ที่สาขาแรกเริ่ม ซอยพัฒน์พงศ์เท่ากับว่าใช้เวลา 32 ปี ที่สร้างการเติบโตในไทยมาอย่างต่อเนื่อง ด้วยจำนวนสาขาในปัจจุบัน ณ สิ้นไตรมาส 1 ปี 2563 มีสาขารวม 11,983 สาขา แบ่งเป็นพื้นที่ กรุงเทพฯ 5,219 สาขา พื้นที่ต่างจังหวัด 6,764 สาขา"
ก่อนหน้านี้บริษัทมีเป้าหมายใหม่ที่จะขยายสาขาให้ครบ 13,000 สาขา ภายในปี 2564 โดยจะวางแผนที่จะลงทุนเปิดร้านสาขาใหม่ การปรับปรุงร้านเดิม สร้างศูนย์กระจายสินค้า หรือเป็นการเพิ่มขึ้นเฉลี่ยปีละ 700 กว่าสาขา หรือ ในอัตรา 6.5- 7 % ต่อปี
ด้วยฐานธุรกิจร้านสะดวกซื้อเป็นผู้นำตลาดอยู่แล้วด้วยส่วนแบ่งการตลาดอยู่ที่ 64 % รั้งอันดับหนึ่งจากจำนวนสาขาที่มี รองลงมามีเทสโก้โลตัสเอ็กซ์เพรส และแฟมิลี่มาร์ท ทำให้มีระบบการจัดส่งสินค้าครอบคลุมทั้งประเทศ เรียกได้ว่ามีการเติบโตต่อเนื่องในตลอดหลายปีที่ผ่านมาจนถึงจุดการขยายเริ่มอิ่มตัวในไทย เพราะแทบทุกถนน ตรอก ซอก ซอย ล้วนแต่มีเซเว่นฯ ตั้งอยู่เต็มไปหมด จนต้องเริ่มมองหาตลาดใหม่ๆ และที่น่าสนใจที่สุดหนีไม่พ้นตลาดในกลุ่ม CLMV
โดยจะเห็นได้ว่าในกลุ่ม CPALL รับบทบาทในการรุกธุรกิจค้าปลีก ได้เสริมอาวุธในกลุ่มต่อเนื่องจากการซื้อร้านค้าส่ง “แม็คโคร” มีอยู่ราว 130 สาขาในไทย ทำให้เกิดการซินเนอร์ยี่ (Synergy) ในกลุ่มอย่างชัดเจน
กรณีการซื้อกิจการเทสโก้ โลตัสที่เป็นผู้นำตลาด Hypermarket ยังช่วยหนุนศักยภาพการแข่งขันของกลุ่ม ทั้งการรุกตลาดค้าปลีกระดับกลางแบบครบวงจร ขณะเดียวกันในตลาดต่างประเทศ ส่วนเทสโก้ มาเลเซีย ยังสามารถช่วยเสริมแผนการรุกต่างประเทศของกลุ่ม ต่อจากการขยายไปใน 4 ประเทศ ของ แม็คโคร ซึ่งก็มีสาขาที่ กัมพูชา, อินเดีย, จีน และเมียนมา
ดังนั้นการที่เซเว่นฯ ขยายไปยังภูมิภาคดังกล่าวจึงเป็นการ เพิ่มขนาดที่ใหญ่ (Economy of scale) ที่มีอยู่เพื่อให้ได้ผลรายได้หรือกำไรที่มากขึ้นไปด้วย เพราะนอกจากขายสินค้าและอาหารพร้อมกินแล้ว เซเว่น ฯ ยังมีบริการเคาน์เตอร์เซอร์วิสชำระเงินได้ตลอด 24 ชั่วโมง
บริการดังกล่าวสามารถชำระเงินค่าบริการได้กว่า 500 ราย และมีจำนวนบริการที่รับชำระมากกว่า 1,300 บริการ การเป็นแบงกิ้งเอเย่นต์ การจัดส่งพัสดุ หรือแม้แต่การให้บริการสินค้าในกลุ่ม อย่างธุรกิจโทรคมนาคม บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ TRUE ไปพร้อมๆกัน
ที่ผ่านมาด้วยผลประกอบการจากรายได้ระดับ 5 แสนล้านบาทต่อปี มีกำไรสุทธิ 2 หมื่นล้านบาทต่อปี CPALL สามารถทำอัตรากำไรสุทธิเฉลี่ยอยู่ที่ 3.9-4 % ต่อปี แต่เฉพาะอัตรากำไรขั้นต้นให้การบริการและการขายสูงถึงเฉลี่ย 28 % ต่อปี สะท้อนได้ถึงการบริหารจัดการต้นทุนที่ไม่ให้ผันผวนได้เป็นอย่างดี
แม้ว่าในช่วงไตรมาส 2 ปี 2563 CPALL จะมีรายได้รวม 128,027 ล้านบาท ลดลง 10.6 % จากช่วงเดียวกันปีก่อน และมีกำไรสุทธิ 2,887 ล้านบาท ลดลงถึง 40 % จากช่วงเดียวกันปีก่อน ซึ่งเป็นผลมาจากสถานการณ์โควิด -19 ทำให้ รายได้จากการขายและบริการของทั้งธุรกิจร้านสะดวกซื้อ และธุรกิจค้าส่งแม็คโคร ได้รับผลกระทบรุนแรง
หากเมื่อสถานการณ์กลับมาดีขึ้นมีการคลายล็อกดาวน์ในเฟสต่างๆ และการเริ่มให้ต่างชาติเดินทางเข้ามาประเทศไทยได้บางกลุ่ม ทำให้ยอดขายมีโอกาสฟื้น ในมุมมองของ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เคทีบี (ประเทศไทย) มีการทำสมมุติฐานหากมีการเปิด 100 สาขาในลาวในปี 2564 และมียอดซื้อต่อบิลที่ 50 บาท (เทียบกับไทย 79 บาท) และจำนวนลูกค้า 600 คน/วัน/สาขา (เทียบกับไทย 1,200 คน/วัน/สาขา) บริษัทจะมีกำไรเพิ่มขึ้น 43.8 ล้านบาท คิดเป็น 0.2% ของกำไรทั้งปี 2564
และทุกๆ 50 สาขาที่เพิ่มจะเพิ่ม upside กำไรประมาณ 0.1%ส่งผลให้ประมาณการกำไรสุทธิมีอัพไซต์ จากการขยายสาขาไปยังต่างประเทศ ประเมินกำไรสุทธิปี 2563 อยู่ที่ 20.5 พันล้านบาท ลดลง 8% จากปีก่อน และปี 2564 ที่ 24.2 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 17% จากปีก่อน ให้ราคาเป้าหมาย CPALL ที่ 80.00 บาท อิง PER ที่ 35x (+1SD ค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 5 ปี)
