BLOG myAccount Cloud : Page 90

วันหยุดถือเป็นวันพักผ่อนหลังจากที่เราทำงานอย่างหนักมาทั้งสัปดาห์ ซึ่งเราจะได้ใช้เวลาของวันหยุดเพื่อกิจกรรมอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็น ออกกำลังกาย, ท่องเที่ยว, เล่นกีฬา, ทำงานอดิเรกต่างๆ หรือแม้กระทั่งซื้อของตกแต่งบ้าน การทำงานที่ดีจึงต้องสมดุลเวลาทำงาน และเวลาหยุดพักผ่อนควบคู่กันไป เนื่องจากการพักผ่อนในวันหยุดอย่างไม่เต็มที่ส่งผลให้เกิดภาวะ Burnout Syndrome ที่จะลดประสิทธิภาพในการทำงานลง ดังนั้นเราจึงต้องพักผ่อนอย่างเต็มที่ เพื่อประสิทธิภาพการทำงานที่ดียิ่งขึ้น มาดูกันว่าวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ กับการหยุดงานวันอื่นๆ มีข้อดี ข้อเสียต่างกันอย่างไร

ข้อดี – ข้อเสียของการหยุดวันเสาร์-อาทิตย์

สำหรับการทำงานวันจันทร์ – ศุกร์ (หยุดวันเสาร์ – อาทิตย์) ซึ่งเป็นวันทำงานแบบทั่วไปของพนักงานออฟฟิศ ข้าราชการ และพนักงานรัฐวิสาหกิจ มีข้อดีอันดับแรกคือ มีเวลาอยู่กับครอบครัวมากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มคนที่มีลูกในวัยเรียน ที่มักจะหากิจกรรมทำร่วมกับลูกๆ ในวันหยุดสุดสัปดาห์ ทั้งยังได้พักผ่อนแบบเต็มที่กับวันหยุดเสาร์ –อาทิตย์ โดยที่ไม่ต้องกังวลเรื่องงานให้วุ่นวายใจ หลายคนอาจจะเคยชินกับการทำงาน 5 วัน/สัปดาห์ จากการปลูกฝังมาตั้งแต่วัยเรียน จนอาจมองข้ามข้อเสียของการหยุดวันเสาร์ – อาทิตย์ไป เช่น ต้องลางานวันธรรมดาเพื่อติดต่อธุระกับราชการ การต้องเจอกับคนจำนวนมหาศาลที่หยุดวันเดียวกันในการซื้อของที่ห้างสรรพสินค้า หรือไปเที่ยวต่างจังหวัดพร้อมกัน เป็นต้น

ข้อดี – ข้อเสียของการหยุดวันอื่นที่ไม่ใช่วันเสาร์-อาทิตย์

ประเภทของงานที่จะไม่ได้หยุดวันเสาร์อาทิตย์ส่วนใหญ่จะอยู่ในกลุ่มของงานบริการ เช่น Customer Service พนักงานขาย พนักงานที่ให้บริการด้านต่างๆ ในห้างสรรพสินค้า เป็นต้น งานประเภทนี้จะต้องรับมือกับกลุ่มลูกค้าจำนวนมากในวันธรรมดา และลูกค้าจำนวนมหาศาลในวันหยุด ซึ่งต้องใช้แรงการ รวมถึงแรงใจอย่างมาก แต่การทำงานในวันหยุดสุดสัปดาห์ทำให้ได้เงินเพิ่มขึ้นมากหน่อยเหมือนกับเป็นรางวัลให้คนขยัน ข้อดีอีกหนึ่งอย่างของการได้หยุดงานวันธรรมดาก็คือในวันหยุดเราจะไม่ต้องเจอกับกลุ่มคนจำนวนมากที่ต่างก็มาใช้เวลาวันหยุดสุดสัปดาห์ร่วมกันในสถานที่หนึ่ง ในส่วนของข้อเสียก็คือการทำงานถึง 6 วัน/สัปดาห์ และมีวันหยุดเพียงแค่ 1 วันเท่านั้น บางครั้งนั่นก็ไม่เพียงพอต่อการพักผ่อนต่างจังหวัด หรือช่วงวันหยุดยาวก็ได้วันหยุดน้อยกว่าเช่นกัน

อย่างไรก็ตามในการทำงานที่มีลักษณะแตกต่างกัน ย่อมทำให้ได้รับวันหยุดแตกต่างกันไปด้วย ในการทำงานจึงไม่จำเป็นต้องหยุดวันเสาร์ – อาทิตย์ทุกคน แต่สิ่งสำคัญของการทำงานอยู่ที่คุณภาพในการทำงาน โดยมีส่วนเสริมที่ขาดไม่ได้คือ การบริหารเวลาทำงาน และพักผ่อนให้เหมาะสม เพื่อประสิทธิภาพการทำงานที่ดี

เลือกมองหางานที่ใช่ในสไตล์ของคุณได้ที่ jobsDB

ลักษณะเชิงคุณภาพของงบการเงิน งบการเงินจะมีประโยชน์ต่อผู้ใช้งบการเงินตามวัตถุประสงค์ที่วางไว้ก็ต่อเมื่องบการเงินนั้นมีลักษณะเชิงคุณภาพตามที่แม่บทการบัญชีกำหนดไว้ ลักษณะเชิงคุณภาพ หมายถึง คุณสมบัติที่ทำให้ข้อมูลในงบการเงินมีประโยชน์ต่อผู้ใช้งบการเงิน ซึ่งประกอบด้วย 1) ความเข้าใจได้ (Understandability) 2) ความเกี่ยวข้องกับการตัดสินใจ (Relevance) ความมีนัยสำคัญ (Materiality) 3) ความเชื่อถือได้ (Reliability) การเป็นตัวแทนอันเที่ยงธรรม (Faithful Presentation) เนื้อหาสำคัญกว่ารูปแบบ (Substance Over Form) ความเป็นกลาง (neutrality) ความระมัดระวัง (Prudence) ความครบถ้วน (Completeness)

รายได้มีความหมายในหลายด้าน เช่นความหมายทางธุรกิจซึ่งเป็นผลกำไรหรือรายได้ที่เกิดจากการดำเนินธุรกิจ และความหมายของรายได้สำหรับองค์กรไม่แสวงหาผลกำไร ซึ่งความหมายของรายได้มีความแตกต่างกัน

องเดิมหรือเงินเดิมที่มีไว้ลงไว้ กำหนดไว้ จัดตั้งไว้ เพื่อประโยชน์ให้งอกงาม เช่น การมีความความรู้เป็นต้นทุน มีเงินหรือมีทรัพย์สินอื่นๆที่ตั้งไว้สำหรับดำเนินกิจการเพื่อหาผลประโยชน์

เจ้าของกิจการมักจะให้ความสำคัญกับงบดุลและงบกำไรขาดทุนในการวัดผลการดำเนินงานของบริษัท โดยลืมตรวจสอบ ‘งบกระแสเงินสด’ ซึ่งเป็นหนึ่งในตัวชี้วัด ‘สุขภาพ’ ของธุรกิจ ถ้าต้องการให้ธุรกิจเติบโตเจ้าของธุรกิจต้องนำงบการเงินทั้งสามมาวิเคราะห์ร่วมกัน

สัญญาเช่าระยะยาว Leases คือ สัญญาเช่าระยะยาว ซึ่งเกิดจากแรงจูงใจหลายประการ เช่น ใช้เป็นกลยุทธ์ในการลงทุน การจัดโครงสร้างเงินทุน ซึ่งมีการเปรียบเทียบต้นทุนของการเช่าระยะยาวกับการซื้อ และผลประโยชน์อื่นๆ อีกมากมาย แต่ในบทนี้เน้นในเรื่องของวัตถุประสงค์เพื่อประโยชน์ในรายงานทางการเงิน

สร้างสมดุลระหว่างเงินสดรับ และเงินสดจ่ายนขณะที่เราขายสินค้าและเก็บเงินจากลูกค้าได้ภายใน 7 วัน นั่นเท่ากับว่าเรามีเลือดหมุนเวียน ช่วยหายใจได้เพิ่มอีก 23 วัน (30 วัน – 7 วัน) แถมยังสามารถเอาเงินไปต่อยอดสร้างโอกาสได้อีกมากมายครับ ก่อนที่จะชำระเงินให้กับเจ้าหนี้การค้า (supplier)

การที่กิจการนำเงินไปลงทุนในหลักทรัพย์อาจเกิดจากหลายเหตุผล เช่น ต้องการกระจายความเสี่ยง ต้องการลงทุนในตลาดใหม่ หรือเทคโนโลยีใหม่ๆ เป็นต้น โดยที่การลงทุนนั้นๆก็จะหวังผลตอบแทนในรูปแบบต่างๆ ได้แก่ เงินปันผล ดอกเบี้ย และส่วนเกินจากราคา(กำไรจากการถือครอง) สรุปแล้ว การลงทุนนั้นก็จะนำไปสู่การซื้อธุรกิจ อันจะส่งผลต่อการรายงานทางการเงินเกี่ยวกับเงินลงทุนซึ่งจะขึ้นอยู่กับอิทธิพลหรือความสามารถในการควบคุมต่อบริษัทที่เราไปลงทุน นั่นเอง

นักบัญชีคิดว่าการตัดค่าเสื่อมราคาเป็นการปันส่วนอย่างมีระบบ ไม่ใช่เพื่อการสะท้อนมูลค่าคงเหลือของสินทรัพย์ ความแตกต่างระหว่างค่าเสื่อมราคาทางบัญชีกับทางเศรษฐศาสตร์ · นักบัญชี ยึดหลักmatchingโดยเชื่อว่าถ้ากิจการมีรายได้ที่สม่ำเสมอ ก็ควรมีการปันส่วนค่าเสื่อมราคาที่สม่ำเสมอเช่นเดียวกัน · นักเศรษฐศาสตร์ มองถึงอัตราผลตอบแทนที่ได้รับจากสินทรัพย์นั้น Ex. โทรศัพท์ 1 เครื่อง มีอายุการใช้งาน 5 ปี พอถึงปีที่ 3 ในทางบัญชีจะยังมีมูลค่า แต่ในทางเศรษฐกิจอาจไม่มีมูลค่าแล้ว

การซื้อ ( purchase )และการรวมส่วนได้เสีย( pooling ) นั้นเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า M&Aซึ่งอาจเกิดจากสาเหตุหลายประการ เช่น การขยายกิจการ การเพิ่มส่วนแบ่งทางการตลาด การปรับปรุงประสิทธิภาพการทำงาน การเพิ่มมูลค่ากิจการ ฯลฯ อย่างไรก็ดีประเด็นสำคัญที่นักวิเคราะห์ควรใส่ใจในเรื่องนี้ก็คือ การเปรียบเทียบกันของรายงานก่อนทำ M&A กับหลังทำ M&A ซึ่งผลกระทบของรายงานอาจมาจากการตัดสินใจในทางเลือกทางการบัญชี

การรับรู้รายการ หมายถึง การรวมรายการเข้าเป็นส่วนหนึ่งของงบดุลและงบกำไรขาดทุนหากรายการนั้นเป็นไปตามนิยามขององค์ประกอบและเข้าเกณฑ์การรัยรู้รายการ ซึ่งรับรู้รายการเมื่อเข้าเงื่อนไขทุกข้อ ดังต่อไปนี้ 1. มีความเป็นไปได้ค่อนข้างแน่ที่ประโยชน์เชิงเศรษฐกิจในอนาคตของรายการดังกล่าวจะเข้าหรือออกจากกิจการ 2. รายการดังกว่ามีราคาทุนหรือมูลค่าที่สามารถวัดได้อย่างน่าเชื่อถือ เงื่อนไขข้อแรก “ความน่าจะเป็นของประโยชน์เชิงเศรษฐกิจในอนาคต”

Home

More

Blog